บทที่ 2 อัญชนีถูกเลี้ยงดูโดยคนอื่น

เสียงตะโกนนั้นทำให้คนทั้งสี่ที่อยู่ชั้นบนตกใจ

สุมนทำหน้าสงสัย: “ด็อกเตอร์? ด็อกเตอร์อะไรกัน?”

ทั้งสี่คนขยับเข้าไปดูที่หน้าต่าง ก็เห็นอัญชนีถูกกลุ่มชายชุดดำห้อมล้อมราวกับเป็นคนสำคัญ เดินตรงไปยังรถมายบัคราคาแพงที่จอดอยู่ตรงหน้า

คณินเองก็งงเป็นไก่ตาแตก

เมื่อเห็นฮาวเวิร์ดจ้องมองอัญชนีที่กำลังจะขึ้นรถอยู่ชั้นล่างไม่วางตา แววตาของอินทิยาก็ฉายแววอิจฉาออกมาวูบหนึ่ง

เธอแกล้งทำเป็นยกมือปิดปากอย่างตกใจเกินจริง บนใบหน้าเต็มไปด้วยความนัย

“พี่สาวคงไม่ได้ทำเรื่องโง่ๆ แบบนั้นจริงๆ ใช่ไหมคะ?!”

อีกสามคนที่เหลือมองมาที่เธอด้วยความประหลาดใจ

“อินทร์ เธอรู้อะไรมาใช่ไหม?” สุมนถาม

อินทิยากลับแสร้งทำทีเป็นอึดอัดใจและลำบากใจในจังหวะที่พอเหมาะพอดี

หลังจากถูกทุกคนซักไซ้ ในที่สุดเธอก็พูดออกมาทั้งที่ขอบตาแดงก่ำ:

“ก่อนหน้านี้ฉันได้ยินพี่สาวคุยโทรศัพท์กับผู้ชายแปลกหน้าบ่อยๆ ดึกดื่นค่อนคืนยังถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกัน ดูสนิทสนมกันเป็นพิเศษ ตอนแรกฉันก็ไม่เชื่อ แต่ไม่คิดเลยว่าพี่เขาจะไม่รักนวลสงวนตัวขนาดนี้ เจ้าของรถหรูคันนี้น่าจะเป็นผู้ชายคนนั้นที่พี่เขาไปมั่วสุมด้วยเมื่อคืน...แล้วผู้ชายคนนี้น่าจะเป็นด็อกเตอร์ แถมที่บ้านก็รวยมากด้วย!”

เมื่อได้ยินดังนั้น คณินกับสุมนก็แทบจะโกรธจนเป็นลม

ราวกับจะยืนยันคำพูดของอินทิยา ชายวัยกลางคนผมสีดอกเลาคนหนึ่งก็ลงมาจากรถมายบัคที่ชั้นล่าง

แม้จะดูมีอายุ แต่ก็ยังคงความสุภาพภูมิฐาน ดูออกได้ไม่ยากว่าตอนหนุ่มๆ ต้องหล่อเหลาโดดเด่นมากแน่ๆ

ชายคนนั้นยิ้มและพูดกับอัญชนีสองสามคำ จากนั้นก็หันไปเปิดประตูรถให้เธออย่างสุภาพบุรุษ

ภาพนี้ในสายตาของคนทั้งสี่ที่อยู่ชั้นบน ยิ่งเป็นการยืนยันความสำส่อนของอัญชนี

ใบหน้าของฮาวเวิร์ดพลันแดงก่ำเป็นสีตับหมู: “สารเลว! ไม่คิดว่าจะมักมากถึงขนาดนี้!”

เขาหันหลังเดินจากไปอย่างฉุนเฉียว ทิ้งไว้เพียงคณินกับสุมนที่กำลังโมโหจนต้องกุมหัวใจและยังสงบลงไม่ได้

อินทิยาก้าวเข้าไปจะปลอบ แต่หางตากลับเหลือบไปเห็นการ์ดใบเล็กๆ ที่ปลายเตียง

เธอแสร้งทำเป็นไม่สนใจแล้วหยิบมันขึ้นมา แต่เมื่อเห็นชื่อบนนั้น สีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไปทันที

ไม่คิดเลยว่า คนที่อยู่กับอัญชนีทั้งคืนเมื่อวาน ไม่ใช่พวกนักเลงที่เธอจัดหามา

แต่กลับเป็นเขาเหรอ?

แววตาของอินทิยาเต็มไปด้วยความริษยา

อัญชนีบ้าเอ๊ย ทำไมถึงโชคดีขนาดนี้ ได้เกาะคนใหญ่คนโตแบบนี้ได้ยังไง!

ในชั่วพริบตา ดูเหมือนเธอจะคิดอะไรบางอย่างออก ความเกลียดชังในแววตาเปลี่ยนเป็นความลำพองใจ เธอแอบยัดนามบัตรใส่กระเป๋าอย่างเงียบๆ

ที่หน้าประตูใหญ่ของห้องปฏิบัติการ อัญชนีเดินออกมา

แม้แต่ชุดป้องกันที่หนาเทอะทะ เธอก็ยังสวมใส่ออกมาให้ดูมีสไตล์เป็นตัวของตัวเองได้อย่างอิสระ

โดยเฉพาะดวงตาเรียวสวยที่อยู่เหนือหน้ากากอนามัยนั้น ทุกครั้งที่กะพริบก็ส่องประกายระยิบระยับ ดึงดูดใจผู้คนได้อย่างไม่น่าเชื่อ

เธอถอดหน้ากากและถุงมือออก บีบสันจมูกที่ปวดเมื่อยเบาๆ แล้วถอนหายใจยาวออกมาเฮือกหนึ่ง

การทดลองในวันนี้ค่อนข้างราบรื่น การวิจัยเครื่องตรวจจับขนาดจิ๋วระดับนาโนในที่สุดก็มีการเริ่มต้นที่ดี

หากขั้นตอนทั้งหมดหลังจากนี้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี เครื่องตรวจจับนี้จะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อทั้งเมือง M และประเทศไทย

ศาสตราจารย์หนวดเคราขาวสองสามคนทยอยเดินออกมาจากห้องปฏิบัติการ

พอเห็นอัญชนี พวกเขาก็ตื่นเต้นจนน้ำตาไหลพรากในทันที:

“ดร.แอนน์! ครั้งนี้ต้องขอบคุณคุณจริงๆ ครับ!”

“ข้อมูลชุดนี้ทำเอาพวกเราคนแก่ๆ ปวดหัวกันมาหลายวันแล้ว ไม่คิดเลยว่าพอคุณมาถึงก็จัดการได้อย่างง่ายดาย!”

“ใช่ครับ ปัญหาใหญ่ที่สุดถูกแก้ไขแล้ว พวกศาสตราจารย์และผู้ทรงคุณวุฒิที่มีชื่อเสียงจากต่างประเทศกำลังรอที่จะแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับคุณอยู่! คุณพอจะเจียดเวลาไปชี้แนะพวกเขาหน่อยได้ไหมครับ?”

แม้ว่าเหล่าอาจารย์จะดีใจจนเนื้อเต้น แต่คำพูดก็ยังคงเป็นการหยั่งเชิง

ทุกคนรู้ดีว่า ดร.แอนน์ ผู้โด่งดังระดับโลกคนนี้ แม้จะอายุยังน้อย แต่ความสามารถด้านสิทธิบัตรต่างๆ นั้นเหนือกว่าคนแก่อย่างพวกเขาไปไกล

แม้ว่าทุกคนอยากให้อัญชนีเข้าร่วมการแลกเปลี่ยนกับต่างประเทศในครั้งนี้ เพื่อจะได้เรียนรู้เทคโนโลยีและประสบการณ์ที่ล้ำหน้าไปด้วย แต่ท้ายที่สุดแล้ว ก็ยังต้องรอให้อัญชนีเป็นคนพยักหน้าตกลงเอง

ภายใต้สายตาที่คาดหวังของทุกคน อัญชนีพยักหน้าเบาๆ ด้วยสีหน้าเรียบเฉย

“ได้ค่ะ จัดการเรียบร้อยแล้วค่อยมาบอกฉันแล้วกัน”

ทุกคนถอนหายใจอย่างโล่งอกทันที ตามมาด้วยความประหลาดใจที่น่ายินดีเกินคาด

เพราะตั้งแต่ทำงานร่วมกันมา อัญชนีก็เอาแต่หมกตัวอยู่กับการวิจัยในห้องทดลอง ไม่เคยปรากฏตัวในกิจกรรมแลกเปลี่ยนกับต่างประเทศที่สำคัญใดๆ เลย

ครั้งนี้ที่เธอยอมให้เกียรติเข้าร่วมการแลกเปลี่ยน ถือเป็นเรื่องน่ายินดีที่เหนือความคาดหมายจริงๆ

หลังจากเก็บของและเดินออกมา อัญชนีก็เห็นรถมายบัคคันเดิมที่คุ้นตาจอดอยู่ด้านนอก

ชายวัยกลางคนผมสีดอกเลายืนรออยู่ข้างรถอย่างนอบน้อม

พอเห็นอัญชนี ชายคนนั้นก็ยิ้มอย่างเป็นมิตร: “คุณอัญ เสร็จงานแล้วหรือครับ? คุณท่านไรวินท์ให้ผมมารับคุณไปที่บ้านเก่าครับ”

อัญชนีขมวดคิ้วเล็กน้อย รู้สึกปวดประสาทไตรเจมินัลขึ้นมานิดๆ

คุณปู่ไรวินท์คนนี้นี่ ช่างไม่ยอมแพ้ง่ายๆ จริงๆ

ก่อนจะมาห้องแล็บเมื่อตอนบ่าย ลุงทองก็บอกว่าคุณปู่ไรวินท์บ่นเรื่องที่เธอถอนหมั้น แล้วก็อยากจะแนะนำหลานชายคนโตให้เธอรู้จักใจจะขาด

แถมยังอวยซะเลิศเลอเพอร์เฟกต์ หาที่เปรียบไม่ได้

ทั้งรวยล้นฟ้า หล่อเหลาราวกับเทพบุตร รักเดียวใจเดียว สรุปคือขนเอาคำชมเท่าที่จะนึกออกมาได้มาใช้หมดแล้ว

ตอนนั้นอัญชนีได้แต่ยิ้มๆ คิดว่าคุณปู่ไรวินท์ก็เป็นแค่คนแก่ขี้เล่นที่พูดล้อเล่นไปตามประสา

ไม่คิดเลยว่าเขาจะทำจริงอย่างที่พูด ถึงกับให้ลุงทองมารับเธอโดยเฉพาะ

เมื่อนึกถึงบุญคุณที่เคยช่วยชีวิตไว้เมื่อหลายปีก่อน อัญชนีก็รู้ว่าตัวเองคงปฏิเสธไม่ได้ ได้แต่ยอมรับชะตากรรม พยักหน้าแล้วก้าวขึ้นรถไป

ก่อนขึ้นรถ ลุงทองเม้มปากพลางพยักพเยิดไปทางเบาะหลัง เป็นเชิงบอกว่าข้างในมีคนอยู่ด้วยอีกคน

หน้าต่างรถเลื่อนลงมาพอดี เผยให้เห็นใบหน้าที่หล่อเหลาราวกับพระเจ้าปั้น

แม้แต่อัญชนีที่เคยผ่านโลกมามาก ก็ยังอดตะลึงไปชั่วขณะไม่ได้

เธอยอมรับว่าไม่เคยเห็นผู้ชายที่หน้าตาดีขนาดนี้มาก่อน

คิ้วกระบี่ ดวงตาดั่งดวงดาว ดวงตาคู่สวยทรงเสน่ห์ทอดมองลงต่ำเล็กน้อย เผยให้เห็นความเย็นชาที่ไม่อนุญาตให้ใครเข้าใกล้

ริมฝีปากบางเฉียบเม้มสนิท นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนราวกับอำพันชั้นเลิศ เปี่ยมด้วยเสน่ห์ที่สะกดวิญญาณ

ที่พิเศษไปกว่านั้นคือ บนสันจมูกของเขามีไฝเม็ดเล็กๆ สีแดงชาด ประดับอยู่ราวกับหยดเลือดที่กระเซ็นบนใบหน้า ทิ้งร่องรอยความงดงามที่แฝงกลิ่นอายของเลือดเอาไว้

นี่คงจะเป็นหลานรักสุดหวงของคุณปู่ไรวินท์ ที่ชื่อนภัทรสินะ?

ถึงแม้ว่าปกติแล้วตาแก่ขี้เล่นคนนั้นจะทำตัวไม่เอาไหน แต่คำว่าหล่อเหลาราวเทพบุตรนั่น ไม่ได้โกหกเธอจริงๆ

บทก่อนหน้า
บทถัดไป